แสนสิริ ปั้นโรงแรม ปีละ500ล้าน ลดเสี่ยงอสังหาฯ
Loading

แสนสิริ ปั้นโรงแรม ปีละ500ล้าน ลดเสี่ยงอสังหาฯ

วันที่ : 25 พฤศจิกายน 2564
ในระยะสั้น บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากธุรกิจโรงแรมปีละ 500 ล้านบาท โดยเป็นส่วนกำไรถึง 120 ล้านบาท
           "แสนสิริ ขยับแรง ทุ่ม 800 ล้าน ชูแบรนด์โลก "เดอะสแตนดาร์ด"ปั้นโมเดลลงทุนโรงแรม ปลุกเจ้าของที่ดินเมืองท่องเที่ยวทั่วไทย เล็งต่อยอด ภูเก็ต - พัทยา - สมุย ต่อจาก หัวหิน  ขณะกูรูฟันธง กลยุทธ์แยบยล เอื้อประโยชน์ 2 ขา หนุน อนาคตอสังหาฯ เมื่อทรัพย์กลายเป็นแหล่งระดุมทุน - โกยกำไรชั้นเยี่ยม"

          แม้ธุรกิจโรงแรม ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบิ๊กเนมอสังหาริมทรัพย์ อย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แต่การประกาศ เข้าลงทุนในเชนโรงแรมดัง "เดอะ สแตนดาร์ด" ซึ่งขึ้นชื่อในกลุ่มบูทีค โฮเต็ลระดับโลก ฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทแม่ "สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล" สัญชาติอเมริกัน ตั้งแต่ปี 2560 ก่อนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเรื่อยมา จน ณ ปัจจุบัน แสนสิริกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 62% ได้แฝงนัยการทำธุรกิจในยุคหน้า ให้เห็นเค้าลางของรายใหญ่รายนี้อย่างชัดเจน

          สัญญาณน่าจับตามอง ยังมาพร้อมกับ 1 ธ.ค. เปิดให้บริการ โรงแรม เดอะสแตนดาร์ด หัวหิน (The Standard Hua Hin) ผ่านการลงทุนเอง 100% ของแสนสิริ ด้วยเม็ดเงินราว 800 ล้านบาท งัดที่ดิน 15 ไร่ ติดริมหาดใจกลางเมืองหัวหิน ปั้นจิกซอว์โรงแรม "เดอะสแตนดาร์ด" แห่งแรกในไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ตั้งเป้าอัตราการเข้าพัก 60% ภายในปี 2565 ซึ่งนับเป็นโรงแรมแห่งที่ 3 ของพอร์ตแสนสิริ ต่อจากการพลิกโฉม 2 โรงแรม เอสเคป เขาใหญ่ เป็น เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ และเอสเคป หัวหิน เป็น เดอะ เภรี โฮเต็ล หัวหิน

          โกยอย่างต่ำ 500 ล.

          "ฐานเศรษฐกิจ" เจาะงบการเงิน บมจ.แสนสิริ รายได้ต่อปีราว 3-4 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นจากธุรกิจหลัก พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 75% และ จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ ค่าเช่าอาคารสำนักงาน, บริษัทบริหารจัดการอสังหาฯ (พลัส พร็อพเพอร์ตี้) และโรงแรม 15% โดยงวดไตรมาส3 /2564  พบ แสนสิริ มีรายได้ค่าบริหารโรงแรมราว 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 27 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นกว่า 100% ในงวด 9 เดือน หลังจากโรงแรมในต่างประเทศของ "สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล" ทยอยกลับมาเปิดให้บริการได้มากขึ้น

          สอดคล้องเป้าหมายทางรายได้ ซึ่ง นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ. แสนสิริ ระบุ ในระยะสั้น บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากธุรกิจโรงแรมปีละ 500 ล้านบาท โดยเป็นส่วนกำไรถึง 120 ล้านบาท แบ่งเป็น จากโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด หัวหิน ปีละ 400 ล้านบาท (กำไร 100 ล้านบาท) และจาก 2 โรงแรมเดิม ปีละ 100 ล้านบาท (กำไร 20 ล้านบาท) ไม่นับรวมรายได้ส่วนแบ่งจากการถือหุ้นใหญ่ใน สแตนดาร์ด ที่ต่อปีทำรายได้จากหลายโรงแรมทั่วโลกมากกว่าพันล้านบาท

          ทำเลหัวหินปลุกโมเดลลงทุน

          ตลาดอสังหาฯ ที่ผันผวนมากขึ้น เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายเหตุผล ที่ทำให้แสนสิริ เริ่มเดินเกมเน้นกระจายความเสี่ยง สู่การสร้างรายได้ประจำ (recurring income) โดยแนวโน้มตลาดท่องเที่ยวไทย หลังปลดล็อกสถานการณ์โควิด19 ที่น่าจะฮอตปรอทแตกจากจุดหมายปลายทางเบอร์ต้น คือ คำตอบที่เด่นชัดที่สุด โดยนายอุทัย ประเมินว่า อย่างไรเสีย เศรษฐกิจไทยหนีไม่พ้นจากการใช้ภาคท่องเที่ยวผลักดันจีดีพี

          ฉะนั้น น่าจะได้เห็นรัฐออกมากระตุ้นทั้งการท่องเที่ยวในประเทศ และดึงต่างชาติเข้ามาในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า คาดการณ์ไฮซีซั่นแค่ 5 เดือน (พ.ย.64 - มี.ค.65) จะมีต่างชาติเข้ามาไทยไม่น้อยกว่าล้านคน ใช้จ่ายต่อหัว 60,000 บาท ขณะนักท่องเที่ยวไทยมีอัตราท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น จากข้อจำกัดด้านการเดินทางไปต่างประเทศ

          ก่อนหน้า โรงแรมแบรนด์เดอะสแตนดาร์ด วางแผนขยายโรงแรมเพิ่ม 4 เท่าตัวทั่วโลกใน 5 ปี เจาะช่วงปี 2564-2568 ทั้งหมด 9 แห่ง รวมห้องพักกว่า 1,828 ห้อง ไทม์ไลน์ล่าสุด คือ เดอะสแตนดาร์ดหัวหิน (แสนสิริเป็นเจ้าของเอง) และเตรียมเปิดตัวแฟล็กชิฟของเอเชียที่ตึกมหานคร "เดอะแสตน ดาร์ด แบงค็อก มหานคร" ในช่วงเดือน พ.ค. 2565

          ขณะนายอุทัยเผยต่อว่า ขณะนี้แสนสิริและเดอะสแตนดาร์ด อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของที่ดินในเมืองท่องเที่ยวหลายแห่ง ต่อเนื่องจากโมเดลการลงทุนเอง 100% บนที่ดินสัญญาเช่า 30 ปี เปิดให้บริการโรงแรมเดอะสแตน ดาร์ด หัวหิน ซึ่งแบ่งเป็น ห้องพัก 178 ห้อง และ วิลล่า 21 หลัง ราคาเฉลี่ยห้องพัก 6,000 บาทต่อคืน สูงสุด 30,000 บาทต่อคืน  ล่าสุดดีลเจ้าของที่ดินที่จังหวัดภูเก็ตอีก 1 แปลง เพื่อเตรียมปั้น โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด อีก 1 แห่ง ตั้งเป้าถอดแบบ เกาะ Ibiza ของสเปน (เดสซิเนชั่นขึ้นชื่อด้านการท่องเที่ยวและสังสรรค์) รวมไปถึงแผนในสมุย และพัทยา ครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวหลัก ที่มีความเป็นเดสซิเนชั่น 4 โลเคชั่น ในระยะ 3 ปี  เพื่อให้เหมาะกับ ดีเอ็นเอ ของแบรนด์เครือเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งมีแบรนด์ย่อยตั้งแต่ เดอะสแตนดาร์ด ระดับ 5 ดาว, บังค์เฮ้าส์ ระดับ 4 ดาว  และ เดอะ เภรี ระดับ 3-5 ดาว โดยรูปแบบการลงทุนนั้น เบื้องต้นจะเป็นการรับบริหารให้กับเจ้าของที่ดิน

          ผนึก 2 ขา ดันธุรกิจเพื่อขาย

          นอกจากแสนสิริจะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมระหว่างเจ้าของที่ดินที่ต้องการจะลงทุนในธุรกิจโรงแรม จุดเชื่อมโยงที่น่าจับตา ยังเอื้อต่อธุรกิจหลักอีกด้วย แต่ละปี บมจ.แสนสิริ เปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ไม่น้อยกว่า 20 - 30 โครงการ พีคสุด ปี 2561 เปิดทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท การต่อยอดเพิ่มทุน แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ผ่านการเข้าไปลงทุน ระดมทุน เพื่อผลักดันธุรกิจหลักมีให้เห็นเรื่อยมา ชัดเจนสุด คือการ ปั้น "สิริฮับ โทเคน" โดยมีสินทรัพย์ขนาดใหญ่ สิริ แคมปัส มูลค่า 15,000 ล้านบาท ล่อตาล่อใจนักลงทุน

          เทียบเคียง นายอุทัย ระบุว่า โอกาสการบุกลงทุนในธุรกิจโรงแรมนั้น จะเกื้อหนุนและหมุนกลับมายังธุรกิจหลัก เพื่อขายของบริษัท ยกตัวอย่าง ในอนาคต แสนสิริ มีแผนจะนำโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด หัวหิน เข้ากองรีท หรือ ออกเป็น ICO (โทเคนดิจิทัลที่มีอสังหาริมทรัพย์อ้างอิง) หรือ หมดสัญญาเช่า อาจต่อสัญญา และนำมารีโนเวทเป็นโครงการที่พักอาศัยเพื่อขายในลักษณะลีสต์โฮลด์ ก็ได้เช่นกัน  ทั้งนี้ แสนสิริ ยังวางแผน นำบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย

          "แสนสิริ ยังเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก เรสซิเดนท์ บ้าน - คอนโดฯ ขณะการเข้าลงทุนในธุรกิจโรงแรม เป็นการหาจุดเชื่อมประโยชน์ให้กับธุรกิจหลัก เปรียบเป็นการลงทุนด้านซอฟต์แวร์ รับกับสิ่งที่ทำอยู่ เสริมทั้งแบรนด์และประโยชน์ต่างตอบแทนทั้งรายได้และแหล่งเงินทุน"

          กูรูชี้แสนสิริโกย 3 เด้ง

          บริบทใหม่การลงทุนโครงการอสังหาฯอีกขั้นของแสนสิริ ประเภท โรงแรม - รีสอร์ท ตอบรับทิศทางธุรกิจอสังหาฯในยุคหน้า ซึ่งถูกโควิด-19 ดิสรัปฯ ตลอด 2 ปี (2563-2564 ) เกิดภาพบิ๊กเนมขยับตัวเป็นโฮลดิ้ง กระจายความเสี่ยง หยิบจับธุรกิจอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้องกับภาค อสังหาฯ เพิ่มช่องทางการหารายได้ใหม่ เช่น บมจ.สิงห์เอสเตท มุ่งโรงไฟฟ้า, บมจ.ออริจิ้น พลิกคอนโดฯ เป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ เช่นเดียวกับ บมจ.อนันดา ปั้นพอร์ตรายได้ประจำ ถือครองเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ รวม 5 แห่งในปีหน้า ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนทั้งรายได้ระยะสั้น (ปล่อยเช่ารายวัน) และระยะยาว

          ขณะกูรูด้านอสังหาฯ นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย วิเคราะห์ธุรกิจอสังหาฯ ว่า ปัจจุบันมีความยากขึ้นทั้งในแง่ลงทุนใหม่และสร้างผลกำไร ตลาดคอนโดฯที่เคยเฟื่องฟูอย่างมากในช่วง 5 ปีก่อนหน้า ชะลอตัวลงมาก ทำให้ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ๆ เริ่มเปลี่ยนโครงสร้างการลงทุนให้เห็นมากขึ้น

          พิจารณาการขยับของแสนสิริครั้งนี้มีแต่ได้กับได้ หลังประกาศมั่นใจระยะ 10 ปี โรงแรมเดอะสแตนดาร์ดหัวหิน จะคืนทุนทั้งหมด และเตรียมขายเข้ากองรีท ย้อนไปครั้งแสนสิริ ขายอาคารสำนักงาน "สิริภิญโญ" ที่เพิ่งซื้อมา ทำกำไรได้สูงมาก ส่วนโรงแรม แค่สินทรัพย์โรงแรมที่หัวหิน มีมูลค่าน่าสนใจ คาดทำผลตอบแทน ในส่วนกำไรได้ค่อนข้างดี เกื้อหนุนประโยชน์ต่อธุรกิจหลักโดยตรง

          "การลงทุนในธุรกิจโรงแรมของแสนสิริ เกิดประโยชน์ 3 ด้าน 1.ในอนาคตจะกลายเป็นสินทรัพย์สำหรับระดมทุน 2.แหล่งกำไร และ 3.เพิ่มความแข็งแกร่งของแบรนด์"

          เจ้าอสังหาฯเมืองท่องเที่ยว

          นายภัทรชัย กล่าวสรุปว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านภาคการท่องเที่ยวของไทย มั่นใจธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวดี หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เทียบปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศเกือบ 40 ล้านคน ซึ่งดีมานด์อั้นที่เตรียมกลับมา จะผลักดันให้โรงแรมในเมืองท่องเที่ยวเป็นที่ต้องการสูง นั่นคือโอกาสของเจ้าของธุรกิจโรงแรม เจาะเมืองหัวหิน คนไทยให้ความนิยมสูง ส่วนภูเก็ต สมุย และพัทยา เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาเมืองเหล่านี้มีอัตรายอดเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ราว 70% ค่อนข้างสูงมาก ประเดิมโรงแรมแรกของแสนสิริ หาคู่แข่งเทียบยาก

          "แสนสิริ เป็นเจ้าอสังหาฯทั้งในหัวหิน พัทยา และภูเก็ต พบมีฐานลูกค้าที่เป็นแฟนคลับอยู่หนาแน่น ความแข็งของแบรนด์เอง เสริมรับเดอะสแตนดาร์ด คงช่วยต่อยอดโอกาสระยะหน้า ชักจูงนักลงทุนได้ไม่ยาก ยิ่งในทำเลที่ที่ดินหาได้ยาก ราคาแพง อย่างหัวหิน ไร่ละ 150 ล้านบาท ทำให้ซัพพลายประเภทบีชฟรอนด์แทบไม่มี คาดจะได้รับการตอบรับสูง"

          "ความแข็งของแบรนด์เสริมรับเดอะสแตนดาร์ด ช่วยต่อยอดโอกาสระยะหน้า ชักจูงนักลงทุนได้ไม่ยาก"
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ